ask me คุย กับ AI




AMP



Table of Contents




Preview Image
 

Fluke หนังสือที่จะเปลี่ยนมุมมองต่อความบังเอิญ โชค และความหมายของชีวิต - YouTube

 

#สรุปหนังสือ #fluke #BrianKlaas #ทฤษฎีความโกลาหล #ความบังเอิญ #การพัฒนาตัวเอง #ปรัชญาเคยสงสัยไหมว่าทำไมชีวิตถึงเต็มไปด้วยเรื่องบังเอิญที่คาดไม่ถึง หนังสือ F...

https://www.youtube.com/watch?v=iW-vUIm39JY

5 แนวคิดเปลี่ยนโลกจาก "Fluke"
หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามที่กระตุ้นความคิดอย่างลึกซึ้ง: หากคุณสามารถย้อนชีวิตกลับไปเริ่มต้นใหม่ ทุกอย่างจะเหมือนเดิมหรือไม่? การตัดสินใจเล็กๆ น้อยๆ เช่น การกดปุ่มเลื่อนปลุกในตอนเช้า สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณ หรือแม้กระทั่งประวัติศาสตร์ได้หรือไม่? Klaas ใช้ตัวอย่างที่น่าทึ่งจากหลากหลายสาขา ตั้งแต่ชีววิทยาวิวัฒนาการ, ปรัชญา, ประวัติศาสตร์, ไปจนถึงทฤษฎีความโกลาหล เพื่อแสดงให้เห็นว่าโลกของเราขับเคลื่อนด้วยปฏิสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดและเหตุการณ์ที่ดูเหมือนสุ่มขึ้นมาได้อย่างไร

Fluke: Chance สำรวจความสำคัญของการยอมรับความไม่แน่นอน | ทำไมชีวิตมันถึงได้สุ่มขนาดนี้วะ

บทนำ: ชีวิตคือการแสดงตลกของโชคชะตา (ที่คนบางกลุ่มพยายามจะหาเหตุผล)

เอาล่ะๆ มาถึงนี่แล้ว คงไม่ได้อยากฟังอะไรสวยหรูหรอกใช่ไหม? เข้าใจๆ ชีวิตมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป บางทีมันก็โรยด้วยเศษแก้วบ้างอะไรบ้าง หนังสือ "Fluke: Chance" ของ Michael J. Mauboussin เนี่ยนะ เขาจะมาบอกคุณว่าไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นแบบ "เอ้า! เกิดขึ้นได้ไงวะ" เนี่ย มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ยิ่งถ้าคุณเป็นพวกชอบวางแผนทุกอย่างเป๊ะๆ มีตารางชีวิตตั้งแต่ตื่นยันหลับ คงจะปวดหัวกับความไม่แน่นอนของชีวิตน่าดู แต่จริงๆ แล้วนะ การยอมรับไอ้ความ "ฟลุ้ก" เนี่ยแหละ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้คุณไม่ประสาทกินไปซะก่อน ลองคิดดูสิ ชีวิตเราทุกวันนี้มีอะไรที่ควบคุมได้จริงๆ บ้างล่ะ? โควิดมาไง? หุ้นขึ้นลงตามอารมณ์ใคร? แค่นี้ก็น่าจะพอให้เห็นภาพแล้วว่าโลกมันไม่ได้หมุนตามที่เราสั่งสักหน่อย หนังสือเล่มนี้ไม่ได้จะสอนให้คุณโยนทุกอย่างทิ้งแล้วไปนั่งนับดาวรอความหวังนะ แต่จะเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้คุณมอง "ความบังเอิญ" หรือ "ความไม่แน่นอน" เป็นส่วนหนึ่งของเกม ไม่ใช่ศัตรูตัวฉกาจที่ต้องกำจัดทิ้ง จะได้เลิกหัวร้อนกับอะไรที่มันควบคุมไม่ได้สักทีไง มาดูกันว่าไอ้เจ้าความบังเอิญเนี่ย มันมีอะไรน่าสนใจมากกว่าแค่การ "ฟลุ้ก" หรือ "ซวย" กันแน่


The Illusion of Control: ทำไมเราถึงชอบหลงเชื่อว่าเราควบคุมทุกอย่างได้

The Illusion of Control (อาการหลงตัวเองระดับจักรวาล)

โอ้โห ดูเหมือนคุณจะกำลังจะตกหลุมพรางที่มนุษย์ส่วนใหญ่เป็นกันนะเนี่ย "The Illusion of Control" หรืออาการหลงคิดไปเองว่าเราควบคุมทุกอย่างได้ มันเป็นเหมือนกับดักทางจิตวิทยาที่ทรงพลังมาก จนคนฉลาดๆ หลายคนยังติดกับเลย คิดดูสิว่ามันน่ากลัวขนาดไหน Mauboussin เขาอธิบายไว้ชัดเจนเลยว่า ไอ้ความรู้สึกที่ว่าเราสามารถกำหนดผลลัพธ์ของสิ่งต่างๆ ได้เนี่ย มันเป็นมายาภาพชัดๆ เพราะจริงๆ แล้ว มีปัจจัยภายนอกอีกเป็นล้านที่เราควบคุมมันไม่ได้เลยสักนิด ไม่ว่าคุณจะวางแผนละเอียดแค่ไหน เตรียมตัวมาดีแค่ไหน ถ้าเจอสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเข้ามา ชีวิตมันก็เปลี่ยนได้เสมอแหละ เหมือนคุณเตรียมตัวสอบอย่างดี แต่ดันไปเจอข่าวร้ายก่อนสอบ แค่นี้สมาธิก็หายหมดแล้ว ผลสอบจะออกมาดีได้ไงล่ะ? หรืออย่างในตลาดหุ้นนะ ต่อให้คุณวิเคราะห์เก่งแค่ไหน มีข้อมูลแน่นปึ้ก ถ้าข่าวร้ายระดับโลกมา ตลาดมันก็ร่วงฮวบฮาบอยู่ดีแหละ การที่เราพยายามจะควบคุมทุกอย่างมันก็เหมือนพยายามจับควันไว้ในมือ ยิ่งกำแน่นเท่าไหร่ ยิ่งหลุดมือไปเท่านั้นแหละ ความจริงก็คือ เราควบคุมได้แค่การกระทำของตัวเอง และการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นแหละ นอกนั้นปล่อยมันไปเถอะ จะได้ไม่เครียดตายก่อนวัยอันควร


ความเชื่อเรื่องเหตุและผล (ที่บางทีก็ไม่มีอยู่จริง)

คนเรามันก็ชอบหาเหตุผลให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นใช่ไหมล่ะ? ถ้าผลลัพธ์มันดี ก็บอกว่าเพราะเราเก่ง ถ้าผลลัพธ์มันแย่ ก็โทษนู่นโทษนี่ แต่จริงๆ แล้ว หลายครั้งที่ผลลัพธ์มันไม่ได้มาจากเหตุผลที่เราคิดเลยนะ หนังสือ "Fluke: Chance" เขาชี้ให้เห็นว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง โดยเฉพาะในระบบที่ซับซ้อนมากๆ อย่างธุรกิจ สังคม หรือแม้แต่ชีวิตส่วนตัวของเราเนี่ย ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลมันไม่ได้เป็นเส้นตรงเสมอไป บางทีผลลัพธ์ที่ใหญ่โต อาจจะเกิดจากเหตุเล็กๆ ที่เรามองข้ามไป หรือบางที เหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่ดูมีนัยสำคัญมากๆ กลับไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลยในระยะยาว เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นนะ วันไหนที่ไม่มีข่าวอะไรสำคัญเลย ตลาดอาจจะวิ่งขึ้นแบบงงๆ แต่ถ้ามีข่าวร้ายนิดหน่อย ตลาดก็อาจจะเทกระจาดลงมาได้ เป็นไงล่ะ ไม่เห็นมีเหตุผลที่สมเหตุสมผลเลยใช่ไหม? การที่เราพยายามจะหา "สาเหตุ" ที่แท้จริงของทุกอย่าง มันอาจจะทำให้เราพลาดโฟกัสไปจากสิ่งที่สำคัญกว่า นั่นก็คือ การยอมรับว่าบางสิ่งมันก็เกิดขึ้นแบบสุ่มๆ โดยไม่มีเหตุผลที่เราจะไปควบคุมหรือคาดเดาได้ การเข้าใจเรื่องนี้ จะช่วยให้เราเลิกจมอยู่กับการหาคำตอบที่ไม่มีอยู่จริง แล้วหันมาโฟกัสกับการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์มากกว่า


การมองข้ามความสำคัญของความสุ่ม (The Neglect of Randomness)

นี่คือจุดที่หลายคนพลาดท่าเลยนะ คือการที่เรามักจะมองข้าม หรือประเมินความสำคัญของ "ความสุ่ม" หรือ "ความบังเอิญ" ต่ำเกินไป เรามักจะพยายามหาแพทเทิร์น หาคำอธิบายที่ดูมีเหตุผลให้กับทุกอย่าง ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว โลกมันเต็มไปด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นแบบสุ่มๆ แบบไม่มีรูปแบบอะไรเลยน่ะสิ เหมือนเวลาเราเล่นหวยอะ ใครจะไปรู้ว่าเลขไหนจะออก? แต่ก็ยังมีคนพยายามหา "สูตร" หรือ "เลขเด็ด" อยู่เรื่อยๆ เพราะไม่อยากยอมรับว่ามันคือการสุ่มล้วนๆ ในหนังสือเล่มนี้ Mauboussin เขาจะบอกว่า พฤติกรรมนี้มันส่งผลเสียกับเรามาก เพราะมันทำให้เราคาดหวังในสิ่งที่ผิดพลาดได้ง่าย และเมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นไปตามที่คาด เราก็จะผิดหวัง หรือโทษปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่ความสุ่มนั่นแหละ ลองคิดถึงเรื่องการลงทุนนะ นักลงทุนหลายคนมักจะเชื่อว่าตัวเองวิเคราะห์หุ้นได้เก่ง จนสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอ แต่จริงๆ แล้ว ผลกำไรที่เกิดขึ้น อาจจะเป็นผลมาจากความบังเอิญ หรือสภาวะตลาดที่ดีในช่วงนั้นก็ได้ การที่เราไม่ยอมรับความสุ่ม ทำให้เราประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป และคิดว่าเราเก่งเกินจริง พอเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้า ก็จะรับมือไม่ถูก หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพว่า ไอ้ความสุ่มเนี่ยแหละ มันเป็นส่วนประกอบสำคัญของชีวิต และเราควรจะเรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับมันให้เป็น


The Fluke Effect: เมื่อโชคชะตากลั่นแกล้ง (หรือให้พร) เราแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

การยอมรับความไม่แน่นอน (Embracing Uncertainty)

ถ้าคุณยังทนอ่านมาถึงตรงนี้ แสดงว่าคุณก็คงพอจะเห็นภาพแล้วว่าชีวิตมันไม่ได้เป็นไปตามแผนเป๊ะๆ เสมอไป การ "ยอมรับความไม่แน่นอน" ที่หนังสือเล่มนี้พูดถึง มันไม่ใช่การยอมแพ้หรือปล่อยปละละเลยนะ แต่มันคือการปรับทัศนคติใหม่ต่างหาก เหมือนเราต้องยอมรับว่าต่อให้เราวิ่งเร็วแค่ไหน ก็อาจจะแพ้นักวิ่งที่วิ่งเร็วกว่าได้ หรือต่อให้เราวางแผนการตลาดมาอย่างดี โควิดก็อาจจะมาทำให้แผนพังได้เหมือนกัน สิ่งสำคัญคือ เมื่อเรายอมรับว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ เราก็จะเตรียมพร้อมรับมือกับมันได้ดีขึ้น ไม่ใช่มานั่งเสียใจหรือโทษตัวเองทีหลัง การยอมรับความไม่แน่นอนช่วยให้เรามีมุมมองที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เปิดใจรับโอกาสใหม่ๆ ที่อาจจะไม่ได้อยู่ในแผนเดิม และที่สำคัญคือ ทำให้เราไม่หัวเสียกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ไงล่ะ คิดซะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเกมที่สนุกสนาน หรือบางทีก็แอบโหดร้ายนิดหน่อย แต่เราก็ต้องเล่นต่อไป ไม่ใช่มานั่งร้องไห้กับกฎของเกม


การตัดสินใจในโลกที่เต็มไปด้วยความบังเอิญ

เอาล่ะ เมื่อเรายอมรับแล้วว่าโลกมันสุ่มๆ แล้วเราจะตัดสินใจอะไรต่อล่ะ? Mauboussin เขาไม่ได้บอกให้คุณนั่งเฉยๆ แล้วรอให้โชคชะตากำหนดนะ เขาบอกว่าเราต้องเรียนรู้ที่จะตัดสินใจในบริบทของความไม่แน่นอนนั่นแหละ สมมติว่าคุณกำลังจะลงทุนในสตาร์ทอัพสักแห่ง คุณมีข้อมูลเท่าที่มีนะ แต่คุณไม่มีทางรู้แน่นอนว่าสตาร์ทอัพนั้นจะประสบความสำเร็จหรือไม่ การตัดสินใจของคุณควรจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่มันจะสำเร็จ และความเป็นไปได้ที่มันจะล้มเหลวควบคู่กันไป ไม่ใช่แค่เชื่อมั่นในข้อมูลที่เห็นตรงหน้าเท่านั้น การตัดสินใจที่ดีในโลกที่เต็มไปด้วยความบังเอิญ คือการที่เราสามารถประเมินโอกาสและความเสี่ยงได้อย่างสมเหตุสมผล โดยไม่ให้ความหวังลมๆ แล้งๆ หรือความกลัวจนเกินเหตุ มาครอบงำการตัดสินใจของเรา การรู้จักเลือกสิ่งที่สำคัญจริงๆ และพร้อมที่จะรับผลลัพธ์ที่อาจจะไม่เป็นไปตามคาด จะทำให้คุณก้าวไปข้างหน้าได้ แม้ในวันที่ทุกอย่างดูเหมือนจะเล่นตลกกับคุณ


การแยกแยะระหว่าง "ทักษะ" กับ "โชค" (Skill vs. Luck)

นี่เป็นอีกเรื่องที่คนมักจะสับสนกันมากนะ ระหว่างว่าสิ่งที่เราทำสำเร็จเนี่ย มันมาจากฝีมือของเราจริงๆ หรือแค่ฟลุ้กล้วนๆ หนังสือ "Fluke: Chance" เขาจะช่วยให้คุณมองเห็นความแตกต่างนี้ชัดเจนขึ้น ยกตัวอย่างเช่น นักกีฬาอาชีพเก่งๆ ใช่ เขามีทักษะสูงมาก แต่ในวันแข่งขัน มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลต่อผลการแข่งขัน เช่น สภาพอากาศ ความผิดพลาดของคู่ต่อสู้ หรือแม้แต่การตัดสินของกรรมการ ซึ่งเราควบคุมไม่ได้เลย การที่เราจะแยกแยะระหว่างทักษะกับโชคได้เนี่ย มันสำคัญมากนะ เพราะถ้าเราเชื่อว่าทุกความสำเร็จของเรามาจากการควบคุมทั้งหมด เราก็จะประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป พอเจอกับความผิดพลาด เราก็จะรับมือได้ยาก แต่ถ้าเรายอมรับว่าโชคก็มีส่วน เราก็จะเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปตามที่เราคาดไว้ได้ดีขึ้น และเมื่อเราประสบความสำเร็จจริงๆ เราก็จะรู้ว่าส่วนไหนคือฝีมือของเรา และส่วนไหนคือโชคที่เข้ามาช่วย ทำให้เราไม่เหลิงจนเกินไปไงล่ะ


Fluke-onomics: เศรษฐศาสตร์ของความบังเอิญ

ความบังเอิญในโลกธุรกิจและการเงิน

ในโลกธุรกิจและการเงินนะ ความบังเอิญมันเล่นบทบาทสำคัญกว่าที่คุณคิดเยอะเลยล่ะ! ลองนึกถึงบริษัทที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงหลายๆ แห่ง อาจจะไม่ได้เกิดจากการวางแผนที่เหนือกว่าคู่แข่งเสมอไป แต่อาจจะเกิดจากจังหวะเวลาที่ดี การค้นพบตลาดใหม่โดยบังเอิญ หรือแม้กระทั่งการที่คู่แข่งทำพลาดครั้งใหญ่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็เป็น "ฟลุ้ก" ที่เราควบคุมไม่ได้ทั้งสิ้น Mauboussin เขาอธิบายในหนังสือ "Fluke: Chance" ว่า แนวคิดทางเศรษฐศาสตร์หลายๆ อย่าง พยายามจะสร้างแบบจำลองที่สมบูรณ์แบบ เพื่ออธิบายการตัดสินใจและการตอบสนองของมนุษย์ แต่จริงๆ แล้ว ในโลกแห่งความเป็นจริง พฤติกรรมมนุษย์มันมีความไม่แน่นอนและอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละ ที่ทำให้เกิด "ฟลุ้ก" ขึ้นมาได้ เช่น การที่นักลงทุนแห่ซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจนราคาพุ่งสูงเกินจริง อาจจะไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเสมอไป แต่อาจจะมาจากกระแสความนิยม หรือข่าวลือที่แพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่คาดเดาได้ยากมาก การเข้าใจ "Fluke-onomics" หรือเศรษฐศาสตร์ของความบังเอิญ จะช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมได้ชัดเจนขึ้น และไม่ยึดติดกับทฤษฎีที่อาจจะไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงได้ทั้งหมด


การประเมินผลลัพธ์ที่ผิดเพี้ยน (Outcome Bias)

นี่คือกับดักอีกอันที่คนส่วนใหญ่มักจะตกหลุม คือ "Outcome Bias" หรือการที่เราตัดสินคุณภาพของการตัดสินใจ โดยดูจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นหลัก ทั้งๆ ที่ผลลัพธ์นั้น อาจจะมาจากโชคล้วนๆ ก็เป็นได้! เหมือนเวลาเราแทงหวยถูก เราก็อาจจะคิดว่าตัวเองมี "เซนส์" หรือ "ดวงดี" ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว มันคือการสุ่มที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ซื้อหวย การที่เราไปยึดติดกับผลลัพธ์มากเกินไป จะทำให้เราประเมิน "กระบวนการ" หรือ "การตัดสินใจ" ที่นำไปสู่ผลลัพธ์นั้นผิดเพี้ยนไปได้ ยกตัวอย่างเช่น นักลงทุนสองคน คนแรกตัดสินใจลงทุนตามหลักการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ แต่สุดท้ายขาดทุนเพราะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คนที่สองตัดสินใจลงทุนแบบสุ่มๆ ด้วยการเลือกหุ้นจากชื่อที่ฟังดูดี และสุดท้ายดันกำไรเพราะหุ้นตัวนั้นได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ถ้าเรามองแค่ผลลัพธ์ เราอาจจะคิดว่าคนที่สองตัดสินใจได้ดีกว่าคนแรก ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว คนแรกต่างหากที่มีกระบวนการตัดสินใจที่ดีกว่า หนังสือ "Fluke: Chance" จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า การประเมินการตัดสินใจ ควรจะดูที่คุณภาพของกระบวนการ ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความบังเอิญ ผลลัพธ์ที่ได้ อาจจะไม่ใช่ตัวสะท้อนคุณภาพของการตัดสินใจที่แท้จริงเสมอไป


ความสำคัญของการมี "Margin of Safety"

โอ้โห นี่คือคำแนะนำที่โคตรมีประโยชน์จากหนังสือเล่มนี้เลยนะเนี่ย "Margin of Safety" หรือ "ส่วนเผื่อความปลอดภัย" มันคือหลักการที่ว่า เราควรจะสร้างช่องว่างระหว่างสิ่งที่เราประเมินมูลค่าของบางสิ่ง กับราคาที่เราจ่ายไป เพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือพูดง่ายๆ คือ อย่าซื้ออะไรแบบฉิวเฉียด จนถ้ามีอะไรผิดพลาดนิดหน่อย คุณก็เจ๊งทันที คิดถึงตอนซื้อบ้านนะ ถ้าคุณซื้อบ้านในราคาที่ประเมินค่าไว้เป๊ะๆ แล้ววันดีคืนดี ค่าซ่อมแซมบ้านขึ้นมานิดหน่อย คุณอาจจะไม่มีเงินจ่ายก็ได้ แต่ถ้าคุณมี Margin of Safety คือซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินไว้เยอะหน่อย คุณก็จะมีเงินสำรองไว้รับมือกับเรื่องไม่คาดฝันเหล่านั้นได้ ในโลกของการลงทุน หรือแม้แต่การวางแผนชีวิตทั่วไป การมี Margin of Safety จะช่วยให้คุณไม่เปราะบางต่อความผันผวนและความบังเอิญต่างๆ ที่อาจจะเข้ามาในชีวิต การมีช่องว่างสำรองนี้ จะทำให้คุณสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ โดยไม่ล้มละลายไปซะก่อน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในยุคที่อะไรๆ ก็ไม่แน่นอนแบบนี้


เมื่อโชคดีหรือโชคร้ายเข้ามาเยี่ยมเยียน: กลยุทธ์รับมือ

การสร้างระบบที่ยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลง

ในเมื่อเราเลี่ยงความบังเอิญไม่ได้ ก็ต้องหัดสร้างระบบหรือกระบวนการที่มันยืดหยุ่นต่อความเปลี่ยนแปลงสิ! มันเหมือนกับการที่เราต้องมีแผนสำรองเสมอแหละ ไม่ใช่แค่มีแผนเดียวแล้วหวังว่ามันจะสำเร็จตลอดไป การสร้างระบบที่ยืดหยุ่นหมายถึง การที่เราออกแบบกระบวนการทำงาน หรือการตัดสินใจ ให้สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายๆ โดยไม่ล้มครืนไปซะก่อน ลองนึกถึงการทำธุรกิจนะ ถ้าคุณมีช่องทางการขายแค่ทางเดียว แล้ววันหนึ่งช่องทางนั้นเกิดมีปัญหา คุณก็อาจจะเจ๊งได้เลย แต่ถ้าคุณมีหลายๆ ช่องทาง ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ หรือแม้แต่การมีพาร์ทเนอร์ที่หลากหลาย ก็จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้ หนังสือ "Fluke: Chance" เขาจะเน้นย้ำว่า การสร้างระบบที่ยืดหยุ่นนี่แหละ คือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มันไม่ใช่แค่การปรับตัวเฉพาะหน้า แต่มันคือการสร้างโครงสร้างที่สามารถรองรับ "ฟลุ้ก" ได้อย่างชาญฉลาด โดยไม่ทำให้เราต้องเดือดร้อนจนเกินไป


การเรียนรู้จากความล้มเหลว (และความสำเร็จที่ได้มาง่ายๆ)

ใครว่าล้มเหลวแล้วไม่มีอะไรดี? จริงๆ แล้ว การเรียนรู้จากความล้มเหลวมันมีค่ามากกว่าที่คุณคิดนะ โดยเฉพาะในบริบทของหนังสือ "Fluke: Chance" เล่มนี้ เขาไม่ได้บอกให้เราไปวิ่งหาความล้มเหลวหรอกนะ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราต้องรู้จักวิเคราะห์มันอย่างจริงจังว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เราล้มเหลว ไม่ใช่แค่โทษโชคชะตาหรือปัจจัยภายนอกเท่านั้น แต่ต้องมองย้อนกลับมาที่การตัดสินใจของเราเองด้วย แล้วอะไรที่เกี่ยวกับความสำเร็จที่ได้มาง่ายๆ ล่ะ? ก็ต้องมองว่า ไอ้ความสำเร็จที่ได้มาโดยไม่ได้พยายามมากนักนั้น มันมีปัจจัยอื่นๆ ที่เรามองไม่เห็นเข้ามาเกี่ยวข้องหรือเปล่า? มันเป็น "ฟลุ้ก" ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว หรือมันเป็นผลลัพธ์จากสิ่งที่เราทำมาอย่างต่อเนื่อง? การแยกแยะสิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้เราเรียนรู้ได้อย่างถูกต้อง และนำไปปรับปรุงการตัดสินใจในครั้งต่อไปได้ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว เราก็ต้องเรียนรู้จากมันให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเดินวนซ้ำที่เดิมไง


การมองภาพระยะยาว ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ระยะสั้น

คนส่วนใหญ่มักจะมองแต่ผลลัพธ์ระยะสั้นใช่ไหมล่ะ? พอเห็นกำไรนิดหน่อยก็ดีใจ พอขาดทุนนิดหน่อยก็เสียใจ แต่จริงๆ แล้ว ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การมองภาพระยะยาวต่างหากที่จะช่วยให้เราอยู่รอดได้ หนังสือ "Fluke: Chance" เขาจะบอกว่า การที่เรายึดติดกับผลลัพธ์ระยะสั้นมากเกินไป มันจะทำให้เราพลาดโอกาส หรือตัดสินใจผิดพลาดได้ เพราะเราอาจจะรีบขายหุ้นที่กำลังจะเติบโต หรือรีบซื้อหุ้นที่กำลังจะตก เพราะเห็นแค่กำไรหรือขาดทุนเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ การมองภาพระยะยาว หมายถึง การที่เราเข้าใจว่า ความไม่แน่นอนและ "ฟลุ้ก" นั้นมีอยู่จริง และผลลัพธ์ที่เราเห็นในวันนี้ อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเสมอไป เราต้องสร้างกลยุทธ์ที่สามารถยืนหยัดได้ในระยะยาว โดยไม่หวั่นไหวกับความผันผวนระยะสั้นมากจนเกินไป เปรียบเหมือนการปลูกต้นไม้ เราต้องดูแลมันให้เติบโต ไม่ใช่แค่มองว่าวันนี้มันออกดอกกี่ดอกแล้ว จะได้ไม่หัวเสียเมื่อเจอวันที่มันไม่ให้ดอกตามที่เราต้องการไง


ปัญหา และ การแก้ปัญหาที่พบบ่อย

ปัญหา: ยึดติดกับแผนเดิมจนมองไม่เห็นโอกาสใหม่

หลายคนยึดติดกับแผนที่ตัวเองวางไว้แน่นหนา จนตาบอดมองไม่เห็นโอกาสดีๆ ที่เข้ามาแบบไม่คาดฝัน เพราะมันไม่ตรงกับแผนเดิม การแก้ปัญหานี้คือการฝึกมองหา "ฟลุ้ก" ในทุกสถานการณ์ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแผนเมื่อเจอสิ่งที่ดีกว่า


ปัญหา: โทษโชคชะตาเมื่อล้มเหลว โดยไม่วิเคราะห์ตัวเอง

เวลาไม่เป็นไปตามที่คิด ก็พร้อมจะโทษปัจจัยภายนอก หรือโชคชะตาตลอด การแก้คือต้องฝึกวิเคราะห์ตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ว่าเราพลาดตรงไหนบ้างในกระบวนการตัดสินใจ


3 สิ่งที่น่าสนใจเพิ่มเติม

จิตวิทยาฝูงชน (Herd Mentality) กับความบังเอิญ

หลายครั้งที่การตัดสินใจของผู้คนจำนวนมากตามๆ กัน ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดูเหมือนมีเหตุผล แต่จริงๆ แล้ว อาจจะเกิดจากอิทธิพลของฝูงชนมากกว่าปัจจัยพื้นฐานจริงๆ


ความสัมพันธ์ระหว่าง "ความรู้" และ "ความไม่รู้"

ยิ่งเรารู้มากเท่าไหร่ เรายิ่งตระหนักว่าเราไม่รู้อีกมากแค่ไหน ซึ่งความไม่รู้นี้เอง ที่ทำให้เกิดพื้นที่สำหรับความบังเอิญ


การใช้ "เครื่องมือ" เพื่อรับมือกับความสุ่ม

เช่น การทำประกัน การกระจายความเสี่ยง หรือการมีเงินสำรอง คือการใช้เครื่องมือเพื่อลดผลกระทบจากความบังเอิญที่อาจเกิดขึ้น


ส่วนคำถามที่พบบ่อย

หนังสือ "Fluke: Chance" เหมาะกับใครบ้าง?

โห ถามได้ตรงประเด็นดีนะเนี่ย หนังสือเล่มนี้เหมาะกับทุกคนแหละ โดยเฉพาะพวกที่ชอบวางแผนจนเครียด ชอบคิดว่าตัวเองควบคุมทุกอย่างได้ หรือพวกที่ชอบโทษโชคชะตาเวลาอะไรไม่เป็นไปตามแผน หรือแม้แต่คนที่อยากเข้าใจโลกมากขึ้น ว่าจริงๆ แล้ว ความบังเอิญมันมีบทบาทแค่ไหนในชีวิตของเรา ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุน นักธุรกิจ หรือแค่มนุษย์ธรรมดาๆ ที่ต้องเจอเรื่องไม่คาดฝันในชีวิต หนังสือเล่มนี้จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้คุณได้แน่นอน แล้วก็อาจจะช่วยให้คุณเลิกหัวร้อนกับเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ไปได้บ้างไงล่ะ ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่มันซ้ำซากจำเจ อยากเห็นอะไรที่มันนอกกรอบหน่อย หรืออยากเข้าใจเหตุผลเบื้องหลังความสำเร็จหรือความล้มเหลวที่ดูเหมือนจะไม่มีเหตุผล หนังสือเล่มนี้ก็ตอบโจทย์คุณได้เลยนะ


เราจะแยกแยะระหว่าง "ทักษะ" กับ "โชค" ได้อย่างไรในชีวิตประจำวัน?

อืมม เป็นคำถามที่น่าสนใจดีนะ การแยกแยะระหว่างทักษะกับโชคเนี่ย มันไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่วิธีที่พอจะช่วยได้ คือลองดูว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้น มันสามารถทำซ้ำได้หรือไม่? ถ้าสิ่งนั้นเป็นผลมาจากทักษะจริงๆ คุณควรจะสามารถทำซ้ำได้ในสภาวะที่ใกล้เคียงกัน แต่ถ้าผลลัพธ์นั้นเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หรือต้องอาศัยปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้มากๆ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามีโชคเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะ ลองสังเกตดูนะว่า ในสถานการณ์เดียวกัน มีคนอื่นที่ใช้ทักษะใกล้เคียงกัน แล้วได้ผลลัพธ์ที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่? ถ้าใช่ นั่นก็อาจจะเป็นสัญญาณว่าโชคนั้นมีบทบาทสำคัญ ลองตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า "ถ้าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ฉันจะสามารถทำผลลัพธ์แบบเดิมได้อีกหรือเปล่า?" การฝึกฝนที่จะมองหาคำตอบเหล่านี้ จะช่วยให้คุณประเมินทักษะของตัวเองและบทบาทของโชคได้ชัดเจนขึ้นนะ


หนังสือเล่มนี้สอนให้เรายอมแพ้ต่อโชคชะตาหรือเปล่า?

โอ้โห ถามเหมือนกลัวจะโดนบังคับให้เป็นคนขี้แพ้สินะ ไม่ใช่แบบนั้นเลย! หนังสือ "Fluke: Chance" เขาไม่ได้สอนให้เรายอมแพ้ต่อโชคชะตา หรือปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามยถากรรมนะ ตรงกันข้ามเลย เขาจะสอนให้เรา "ยอมรับ" ความไม่แน่นอนและความบังเอิญที่มันมีอยู่จริงต่างหาก เหมือนเรารู้ว่าวันพรุ่งนี้อาจจะมีฝนตก เราก็ไม่ได้ยอมแพ้ต่อโชคชะตาจนไม่ยอมออกจากบ้าน เราแค่เตรียมร่มไปให้พร้อมเท่านั้นเอง การยอมรับความไม่แน่นอน จะช่วยให้เรามีมุมมองที่ยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น และที่สำคัญคือ จะช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นในสภาวะที่ข้อมูลไม่สมบูรณ์ หรือไม่สามารถคาดการณ์ผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ การเข้าใจเรื่องนี้ จะทำให้เราสามารถใช้ "ฟลุ้ก" ให้เป็นประโยชน์กับเราได้มากขึ้น แทนที่จะปล่อยให้มันมาทำลายแผนการของเราไงล่ะ


การนำแนวคิดจากหนังสือไปปรับใช้กับการลงทุนอย่างไร?

ถ้าจะเอาไปปรับใช้กับการลงทุนนะ อย่างแรกเลย คือต้องเลิกคิดว่าตัวเองเก่งเกินจริง และเข้าใจว่าความสำเร็จในการลงทุนส่วนหนึ่งก็มาจาก "โชค" ที่ดีด้วยนะ ไม่ใช่แค่ทักษะการวิเคราะห์ของเราเท่านั้น ประการที่สอง คือการมี "Margin of Safety" หรือส่วนเผื่อความปลอดภัยในการลงทุน คืออย่าซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกินไป จนถ้ามีอะไรผิดพลาดนิดหน่อยก็เจ๊งทันที ต้องเผื่อใจไว้สำหรับความไม่แน่นอนด้วย ประการที่สามคือ การสร้างระบบการลงทุนที่ยืดหยุ่น ไม่ใช่แค่มีแผนเดียวแล้วทำตามนั้นตลอดเวลา แต่ต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนไป หรือเมื่อเจอโอกาสใหม่ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในแผนเดิม ที่สำคัญที่สุด คือการมองภาพระยะยาว ไม่ใช่แค่ผลกำไรขาดทุนระยะสั้น เพราะในโลกของการลงทุน ความบังเอิญสามารถทำให้ตลาดผันผวนได้ตลอดเวลา การเข้าใจหลักการเหล่านี้ จะช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีสติมากขึ้น และไม่หัวเสียจนเกินไปเมื่อเจอความผันผวนไง


หนังสือ "Fluke: Chance" มีการอ้างอิงหรือยกตัวอย่างที่น่าเชื่อถือหรือไม่?

แน่นอนอยู่แล้ว หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Michael J. Mauboussin ซึ่งเป็นนักกลยุทธ์ทางการเงินที่มีชื่อเสียงนะ เขาไม่ได้มั่วซั่วมาพูดลอยๆ หรอกนะ ในหนังสือจะมีการอ้างอิงงานวิจัย ทฤษฎีทางสถิติ จิตวิทยา และยกตัวอย่างจากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ การเงิน ธุรกิจ และแม้แต่ในกีฬา เพื่อสนับสนุนแนวคิดของเขา ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น และรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมีที่มาที่ไป ไม่ใช่แค่ความคิดส่วนตัวเพ้อเจ้อ การอ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะได้เจอการยกตัวอย่างที่น่าสนใจมากมาย ทั้งเรื่องของนักลงทุนระดับตำนาน ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในอดีต หรือแม้แต่เรื่องราวของความสำเร็จที่เกิดขึ้นแบบไม่คาดฝัน ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยยืนยันว่า "ความบังเอิญ" นั้นมีอยู่จริงและส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อโลกที่เราอยู่


แนะนำ 2 เวปไซท์ ภาษา th ที่เกี่ยวข้อง

เว็บไซต์ สรุปหนังสือ | ReadWell

เว็บไซต์นี้มีสรุปหนังสือดีๆ หลายเล่ม รวมถึงหนังสือแนวพัฒนาตนเอง การเงิน หรือจิตวิทยา ที่อาจจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดในหนังสือ "Fluke: Chance" อย่างการจัดการความไม่แน่นอน หรือการตัดสินใจภายใต้สภาวะที่ไม่แน่นอน ลองเข้าไปอ่านสรุปสั้นๆ เพื่อทำความเข้าใจภาพรวมก่อนก็ได้นะ ReadWell


เว็บไซต์ HBR Thailand (Harvard Business Review)

HBR Thailand เป็นแหล่งรวมบทความเกี่ยวกับธุรกิจ การบริหารจัดการ และกลยุทธ์ต่างๆ ที่มีคุณภาพสูง บ่อยครั้งจะมีบทความที่พูดถึงการตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน จิตวิทยาของการบริหาร หรือการวิเคราะห์ตลาด ซึ่งอาจจะช่วยเสริมความเข้าใจในประเด็นที่หนังสือ "Fluke: Chance" นำเสนอ ลองเข้าไปอ่านบทความที่เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ดูนะ จะได้เห็นมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น HBR Thailand




หนังสือ Fluke: Chance สำรวจความสำคัญของการยอมรับความไม่แน่นอน

URL หน้านี้ คือ > https://x.ai-thai.com/1752313391-etc-th-news.html

etc


LLM


tech




Ask AI about:

Gunmetal_Gray_moden